Kawasaki Superchrager Test Riding Review ฟิลลิ่งการขับขี่ในรูปแบบสนาม

2197 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Kawasaki Superchrager Test Riding  Review ฟิลลิ่งการขับขี่ในรูปแบบสนาม

Kawasaki

Superchrager Test Riding

Review ฟิลลิ่งการขับขี่ในรูปแบบสนาม

     หลังจากที่รอคอยกันมาแสนนานว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้ขับขี่รถที่มีระบบอัดอากาศแบบ
Superchrager สักที และแล้ววันนี้ก็มาถึง ทางทีมงาน OV เราก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมทดสอบรถ
ที่ได้ชื่อว่าเป็นเรือธงของค่าย Kawasaki อย่าง Ninja H2 SX SE,Ninja ZX10R SE ที่เป็น
รุ่นใหม่ล่าสุดและท็อปที่สุดของค่าย ณ เวลานี้ จะชักช้าอยู่ใย รีบเปลี่ยนชุดลงไปทดสอบกันเถอะ




     ช่วงเช้าเราได้ทดสอบ Ninja ZX10R SE ที่เป็นรถในสไตล์ Sport เต็มตัว รูปทรงที่ถูกออกแบบมาเข้ารูปเข้ารอยเป็นอย่างมาก สีด้านนอกดำ แต่ตรงจุดที่เป็นช่องลมหรือครับต่างๆจะเป็นสีเขียว แค่สีก็พิเศษแล้ว ทางด้านอุปกรณ์อิเลคโทรนิคต่างๆนั้น สุดทุกจุด ระบบโช้คหน้าและหลังไฟฟ้าจาก Showa Full Adjust ทำงานร่วมกับระบบควบคุม KECS (Kawasaki Electronic Control Suspension) อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ต่างจากตัวธรรมดา ตัวโช้คสามารถปรับตั้งค่าเองได้ตามใจชอบ แต่ถ้าใครไม่ต้องการปรับค่าแบบละเอียด ก็จะมีโหมดหลักๆอยู่ 3 โหมด Road,Track,Manual ( โหมด Manual เป็นโหมดที่สามารถปรับตั้งค่าได้เองตามความต้องการของผู้ใช้งาน ) ซึ่งวิธีเลือกโหมดก็จะปรับได้ที่สวิตช์ทางด้านซ้ายมือได้ทันที หลังจากเลือกโหมดของโช้คทั้งหน้าและหลังเรียบร้อย ก็ไปเริ่มขับขี่กัน ออกไปก็วอร์มสัก 1-2 รอบก่อนเพื่อความปลอดภัยของเราและรถ 555 เมื่อเข้าที่ก็กดกันเต็มที่


      ทางตรงนั้นอัตราเร่งไม่แตกต่างจากตัว ZX10R เพราะเป็นเครื่องยนต์แบบเดียวกัน แต่เมื่อเข้าโค้งเชนเกียร์และเบรกหนัก อาการส่ายหรือบั้ม แทบจะไม่เกิดกับตัว SE สักนิด เพราะช่วงล่างอัจฉริยะที่คำนวณทุกสิ่งอย่างให้เสร็จสิ้น ถือว่าจุดนี้ ระบบ KECS (Kawasaki Electronic Control Suspension) ทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำมาก เปิดคันเร่งออกจากโค้งเต็มที่ ก็ไม่เกิดอาการย้วยใดๆ ซึ่งเป็นจุดที่น่าประทับใจที่สุดสำหรับช่วงล่างชุดนี้ ที่ทางค่ายได้ร่วมพัฒนากับ Showa มาเป็นอย่างดี ในส่วนของการควบคุม การเข้าโค้งที่ความเร็วสูง สามารถทำได้ดี เข้าโค้งง่าย ออกโค้งได้ไวและนิ่ง ไม่ต้องโหนรถ เมื่อเอียงลงไปสักนิดตัวรถก็เหมือนจะช่วยเราเข้าโค้งไปด้วย เนื่องด้วยน้ำหนักตัวรถที่เบากว่าตัวปกติ


      จึงทำให้การควบคุมรถตัว SE นั้นทำได้ง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด อีกจุดที่ต่างก็คือตัว QuickShifter ที่ใช้งานได้ทั้ง Up-Down ส่วนตัว R นั้นจะใช้ได้เพียง Up เท่านั้น ช่วยให้การใช้งานได้สะดวกแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยรวมของเจ้า ZX10R กับ ZX10R SE จะแตกต่างกันที่ระบบรองรับน้ำหนัก ระบบไฟฟ้าควบคุมอัจฉริยะ และการควบคุมรถ เป็นส่วนใหญ่ ตัว SE จะมีเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า พิเศษกว่า ส่วนตัว R จะได้อารมณ์การขับขี่ที่ดุดัน ดิบๆ


      หลังจากทดสอบช่วงเช้าเสร็จ ก็พักทานอาหาร พร้อมกับร่วมดู ติ๊งโน้ต ฐิติพงศ์ วโรกร นักแข่งเต็งหนึ่งของทางค่าย ลงขับขี่ทดสอบ ในสนาม เป็นการทานอาหารที่ได้รสชาติจริงๆ ทานไป เชียร์ไป



      ช่วงบ่าย ทางเราได้ลงทดสอบรถรุ่นที่รอคอยกันมานานกับการได้ลองขับขี่รถที่มีระบบอักอากาศ Supercharger
ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือ Ninja H2 และ H2 SX SE นั่นเอง และนี่ก็เป็นครั้งแรกในประเทศไทยของสื่อมวลชนที่ได้ประเดิม
การขับขี่เจ้าสองรุ่นนี้ 


     คันแรกที่เราได้ขับขี่เป็น Ninja H2 SX SE ซึ่งตัวรถรุ่นนี้ถูกพัฒนามาจาก H2 ให้มาเป็นรถสไตล์ Touring บอกได้ว่า
เป็นรถที่ขับขี่สุดแสนสบาย แต่ความแรงไม่เป็นรองตัว Sport แม้แต่นิด เริ่มจากท่านั่งการขับขี่กันก่อน อย่างที่รู้กันว่ารถสไตล์นี้
จะมีท่านั่งที่สบาย ไม่เมื่อย ระยะแฮนด์ไม่ไกลเกิน แขนไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป ทางค่ายได้ออกแบบมาให้ลงตัวกับชาวเอเชียบ้านเรา
โดยเฉพาะท่านั่งก็ไม่ถึงกับหลังตึง อยู่ตรงกลางระหว่างรถสไตล์ Sport และ Touring ทั่วไป ตำแหน่งการวางเท้าก็ออกแบบมาเหมาะสม
กับสไตล์รถ ระบบรองรับน้ำหนักทั้งหน้าและหลังไฟฟ้า

      อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีใหม่ๆมากมาย อยู่ในตัว แต่รอบนี้ขอรีวิวเรื่องการขับขี่กันก่อน มาเริ่มจากการเข้าโค้ง เมื่อเข้าไปในโค้งนั้น
ระบบรองน้ำหนักที่ถูกติดตั้งมาให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเกินตัว เสมือนว่ามีช่างคอยปรับตั้งโช้คทั้งหน้าและหลังให้เราอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเข้าโค้งที่ความเร็วสูง หรือปีนขอบแทร็ค ระบบรองรับน้ำหนักจะทำให้เหมือนเราขับขี่ผ่านเส้นทางปกติ ไม่มีอาการใดๆเกิดขึ้น
เป็นรถที่เข้าโค้งได้อย่างสมูท และนิ่มนวลอย่างมาก เมื่อเปิดคันเร่งเพื่อที่จะออกจากโค้ง ก็สามารถทำได้ดีไม่แพ้กัน ในด้านของการควบคุมรถ เป็นรถที่สร้างมาให้เราเข้าถึงได้ง่ายจริงๆ เนื่องด้วยท่านั่งที่เป็นรถสไตล์นี้ ยิ่งทำให้ขับขี่ง่ายขึ้นไปอีก สิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือเรื่องอัตราเร่งและกำลังเครื่องยนต์ พูดได้เลยว่า แรงเกิ้นนน รอบติดมือตั้งแต่รอบต้นจนรอบปลาย และเมื่อตอนบูสมา รถจะดึงมากๆ แต่ไม่ถึงกับหน้าหงาย จะค่อยๆดึง เพราะอัตราเร่งของเครื่องยนต์ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างนิ่มนวล ไม่กระชาก วินชิลด์บังลมด้านหน้า ที่ความเร็วสูง อัตราแรงลมปะทะ แทบจะไม่มี ใช้ความเร็วในสนามที่สุดทางตรงอยู่ที่ประมาณ 200 กม/ชม ยังนั่งสบาย ถ้าเทียบกับรถสไตล์เดียวกัน เจ้า H2SX SE ไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน ถ้าเพื่อนได้ลองขับ คิดว่าหลายคนติดใจชัวร์ นี่ขนาดทดสอบขับขี่ในรูปแบบ Curcuit ยังทำได้ดีเกินหน้าเกินตารถสไตล์ Touring รุ่นอื่นๆ


      ภาพโดยรวมของ Ninja H2SX SE จะเป็นรถที่เข้าถึงได้ง่าย สำหรับเพื่อนๆทุกคน ยิ่งถ้าใครพอมีทักษะในการขับขี่รถสไตล์
Touring อยู่ก่อนแล้ว เมื่อมาลองขับขี่รถคันนี้ เพื่อนๆจะลืมรถที่บ้านทันที มีเสียเงินซื้อกันเลย เพราะด้วยเทคโนโลยีที่อัดแน่นอยู่ในตัวรถ
และระบบ Supercharger ที่ผสมผสานการทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว ทั้งความแรงและประสิทธิภาพ ซื้อเถอะครับ ฮ่าๆๆ (อันนี้คือแอดอยากได้เองครับ)


     มาถึงคันสุดท้าย นั่นก็คือ Ninja H2 ที่ได้ทดสอบเป็นครั้งแรกในสนามเช่นกัน รถรุ่นนี้เป็นรถที่มีเทคโนโลยีที่แซงเพื่อนๆ
ทุกเผ่าพันธุ์ก็ว่าได้ อีกทั้งยังเป็นรถที่สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ทะลุ 400 กม/ชม อีกด้วย แต่สนามที่เราทดสอบมีระยะทางจำกัด
      สำหรับ Ninja H2 ถ้าทำความเร็วได้ถึงขนาดนั้น น่าจะไม่อยู่กับกำแพงก็วัดแล้วหล่ะครับ ต่อๆๆ การขับขี่ที่สุดทางตรง
แอบเหลือบมองเรือนไมล์ พระเจ้า แปปเดียวความเร็วมาถึง 220 กม/ชม ทำยังไงต่อไปดีล่ะทีนี้ เบรกพร้อมเชนเกียร์ลงอย่างรวดเร็ว
เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ ระบบทุกอย่างในตัวรถ ทำงานกันอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยให้การชะลอรถและยึดเกาะพื้นเทร็ค ระบบรองรับน้ำหนัก
ทั้งหน้าและหลังทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงยางและเบรกก็ทำงานสัมพันธ์กันทุกจุดทุกย่านความเร็ว

      เมื่อความเร็วเหมาะสมแล้วก็จัดการพับเข้าโค้งย้ายสะโพก แทงเข่า ไม่น่าเชื่อ มันได้อารมณ์สปอร์ตแบบสุดๆ แถมตอนยกคันเร่ง
ยังมีเสียง Blow Off Valve ที่ระบายไอดีออกมาจากระบบ Supercharge ให้เสียงที่ไพเราะมากมาย ดังฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว
แต่เมื่อเจ้า H2 บูสมา ทั้งกอดถังน้ำมันหนีบเข่า ตัวยังจะหลุดลอยออกจากตัวรถ แต่ยังดีที่ด้านหลังของเบาะมีการ์ดรองไว้
เล่นเอาบั้นท้ายของผมเขียวเหมือนกัน ต้องขอบอกว่า การขับขี่รถที่มีความเร็วสูงขนาดนี้ สมาธิเป็นเรื่องสำคัญ แค่วอกแวกนิดเดียว
อาจหมายถึงชีวิตและทรัพย์สินได้ อาการดึงหน้าหงายมันมาเต็มรูปแบบจริงๆ สำหรับ H2 ที่แตกต่างกันอย่างมากกับตัว H2SX SE
ตัวนั้นจะมาแนวนุ่ม สมูท เพราะเป็นรถสไตล์ Touring แต่กับ H2 แล้วนั้นเป็นรถสไตล์ Sport เต็มรูปแบบ อารมณ์การขับขี่ก็จะแตกต่าง
กันอย่างสิ้นเชิง เมื่อเวลาบูสมา ที่ความเร็วรอบประมาณ 7,000-8,000 rpm. แนะนำให้จับแฮนด์แน่นๆ มีสมาธิกับรถและสายตา
มองไปที่ไลน์การเข้าโค้งที่จะขับขี่ไป หลังจากนั้น ตัวรถจะพาทะยานไปแบบที่ว่าพริบตาเดียวสุดทางตรงที่สนามแล้ว

      อัตราเร่งของ H2 นั้นเป็นอัตราเร่งที่จัดจ้าน ดุดัน เป็นที่สุด อีกอย่างที่ทางตรง จะเป็นรถที่ไม่เชื่องเอาจริงๆ เพราะว่าล้อหน้านั้น
ไม่ค่อยจะอยู่ติดพื้นสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเข้าโค้งที่ความเร็วสูง หรือต่ำ จะกลับกลายเป็นรถที่เข้าโค้งได้อย่างเนียน ไม่ดื้อไม่ซน
ไม่มีอาการย้วยหรือสับ แต่อาจจะไม่นิ่มนวลเท่าตัว H2SX SE ก็ตาม แต่ก็ให้ความปลอดภัยในระดับไม่ต่างกัน ซุ่มเสียงของการ
คายไอดีออกมาจากBlow Off Valve เป็นเอกลักษณ์เด่นของ Ninja H2 การควบคุมและคอนโทรลรถ ในช่วงแรกถ้ายังไม่ชิน
อาจจะดูเก้ง ก้าง ไปสักหน่อย แต่เมื่อปรับท่าทางการขับขี่เข้ากับตัวรถเรียบร้อยแล้ว การหมอบหลบลม วินชิลด์ด้านหน้าสามารถ
ตัดลมได้เป็นอย่างดี หัวไม่ส่าย แต่ถ้าไม่หมอบหลบลมอาจจะมีอัตราลมปะทะบ้าง เมื่อความเร็วสูงๆ ระยะแฮนด์อยู่พอดีกับการใช้งาน
ในรูปแบบรถสปอร์ต อาจจะก้มเล็กน้อย เป็นแฮนด์แบบจับโช้ค ตำแหน่งจะอยู่ต่ำกว่ารถในสไตล์อื่น ท่านั่งขับขี่ปกติจะหมอบเล็กน้อย
ขนาดของเบาะที่ใหญ่ทำให้นั่งได้อย่างกระชับ เมื่อหมอบหลมลม ด้านหน้าของครอบถังน้ำมันออกแบบมาเพื่อหลบหมวกกันน้อค


     ในขณะที่เราหมอบถึงจุดต่ำสุดเพื่อหลบลมปะทะ ที่ความเร็วสูง ภาพรวมของ Ninja H2 เป็นรถทรง Sport ที่มีอัตราเร่งและ
กำลังเครื่องยนต์ที่เป็นหนึ่งในรถตระกูล 1,000 cc. แถมยังมีระบบอัดอากาศแบบ Supercharger ที่ช่วยสร้างกำลังให้เครื่องยนต์
ทำให้รถสามารถทำความเร็วสูงสุดทะลุ 400 กม/ชม ได้อย่างเหลือเชื่อ และการออกแบบดีไซน์ภายนอก ยังสวยงามสะดุดตา
เหมาะสมกับที่เป็นสุดยอดนวัตกรรมจากทางค่าย Kawasaki รวมไปถึงเทคโนโลยีต่างๆในตัวรถ อาทิเช่น ระบบโข้คไฟฟ้า
ระบบควบคุมกล่องที่ปรับตั้งมาอย่างละเอียดจากโรงงาน สำหรับ H2 เป็นรถที่ระบบรองรับน้ำหนักทั้งหน้าและหลังไม่เป็นรองคู่แข่งอย่างแน่นอน ส่วนการควบคุมรถที่ความเร็วสูงเช่นนี้ กันสะบัดก็เป็นตัวแปรสำคัญเช่นเดียวกับอุปกรณ์ต่างภายในตัวรถ อารมณ์การขับขี่ ให้อารมณ์แบบท้าทายสุดๆ อาการดึงเมื่อตอนบูสมา และการเกาะตัวรถเพื่อไม่ให้หลุดออกจากรถ เป็นการต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลกแบบสนุกสุดเร้าใจผู้ที่ท้าทายความเร็ว แต่ยังคงซึ่งความปลอดภัยในระดับต้นๆของโลก


      ต้องขอขอบคุณทาง Kawasaki ที่ไว้วางใจให้ทางทีมงาน OverRide เราเข้าร่วมทดสอบนวัตกรรมสุดล้ำค่าจากทางค่ายในครั้งนี้ด้วยครับ ครั้งต่อไปถ้ามีทดสอบอีก มั่นใจได้ครับว่า OverRide จะไม่ทำให้ผิดหวัง และในส่วนของการรีวิวฟิลลิ่งการขับขี่ให้เพื่อนๆฟัง รอบหน้าเราจะมารีวิวรถรุ่นไหน คอยติดตามด้วยนะคร้าบบ !!!

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้